หมอกระดูกบอกเล่า.. อาการบาดเจ็บและการรักษาที่ “นักวิ่ง” ควรรู้
กระแสการออกกําลังกายยอดฮิตแห่งปี 2017 คงหนีไม่พ้น “การวิ่ง” อย่างแน่นอน หลายคน หันมาวิ่งเพื่อสร้งเป้าหมายในชีวิต แต่ละคนก็มี เป้าหมายที่ต่างกันออกไป แต่สิ่งสําคัญที่นักวิ่ง ควรใส่ใจไม่ 11 พ้ระยะทางที่ต้องพิชิต ก็คือ การป้องกันอาการบาดเจ็บที่อาจเกิดขึ้น รวมไปถึงการปฐมพยาบาลเบื้องต้น และการรักษาทาง การแพทย์ในกรณีได้รับบาดเจ็บอย่างรุนแรง | รศ.นพ.พงศ์ศักดิ์ ยุกตะนันทน์ แพทย์ออร์โธปิดิกส์ และ ประธานหลักสูตรวิทยาศาสตรมหาบัณฑิต สาขาวิชาเวชศาสตร์การกีฬา คณะแพทยศาสตร์ จุฬาลงกรณ์มหาวิทยาลัย เล่าให้ฟังว่า การวิ่งเป็น ธรรมชาติของมนุษย์อยู่แล้ว จึงไม่ได้เป็นกิจกรรมที่น่ากังวลมากนัก หากมีร่างกายสมบูรณ์แข็งแรง ไม่มีน้ําหนักตัวเกินหรือโรคประจําตัว ก็สามารถเริ่มวิ่งได้เลย สําหรับการบาดเจ็บจากการวิ่งอาจเกิดขึ้นได้ จากการไม่เตรียมพร้อมร่างกายและอุปกรณ์ เช่น รองเท้าวิ่ง รวมถึง อุบัติเหตุและการบาดเจ็บ สะสมจากการหักโหมและวิ่งระยะไกล |
รศ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าวถึงอาการบาดเจ็บที่มักพบบ่อยในนักวิ่ง ก็คือ อาการบาดเจ็บบริเวณ เข่าด้านนอก(Iliotibial Band Friction Syndrome) เกิดจากการเสียดสีของแถบเอ็นกล้ามเนื้อต้นขา ด้านข้างกับปุ่มกระดูก ซึ่งเป็นผลมาจากการเพิ่มระยะทางและความรุนแรง ของการวิ่งอย่างรวดเร็ว ในช่วงเวลาสั้นๆ อาการนี้สามารถบรรเทาได้ด้วยการนอนหงายและพับเข่าไปด้านข้าง รวมถึงการหมั่นยืด กล้ามเนื้อ และควรเผื่อเวลาในการฝึกซ้อมร่างกายก่อนลงสนามจริง โดยเฉพาะผู้ที่เคยวิ่งระยะสั้นๆ ไม่เกิน 5 กิโลเมตร และต้องการเพิ่มระยะทาง การวิ่งขึ้นเป็น 20 กิโลเมตร (Half Marathon) ควรมีเวลาฝึกซ้อมอย่างน้อยประมาณ 12 สัปดาห์
อีกหนึ่งอาการบาดเจ็บที่พบได้ในนักวิ่งมาราธอนคือ กระดูกหักล้า (Stress Fracture) ซึ่งเป็นสาเหตุที่ทําให้นักวิ่งต้องหยุดพักเป็นเวลานาน เนื่องจากกล้ามเนื้ออ่อนล้าและไม่สามารถรับน้ําหนัก หรือแรงกระแทกได้ ส่งผลให้กระดูกได้รับแรงกระแทกมากขึ้น ทําให้เกิดการแตกหักเล็กๆ ภายใน โครงสร้างของกระดูก กระดูกหักล้าพบบ่อยที่กระดูกเหนือข้อเท้า ผู้ป่วยจะรู้สึก เจ็บปวดบริเวณเหนือข้อเท้า โดยอาการปวดจะเกิดขึ้นขณะวิ่ง เมื่อหยุดวิ่ง อาการก็อาจบรรเทาลง พอวิ่งอีกก็จะปวดอีกจนไม่สามารถวิ่งได้ เป็นเช่นนี้ อยู่ซ้ําๆ แพทย์จะวินิจฉัยด้วยการสแกนกระดูก (Bone Scan) เนื่องจากการแตกหักดังกล่าว มีขนาดเล็กมาก การทําเอกซเรย์ปกติจะไม่สามารถ มองเห็นได้ แต่สําหรับกรณีนี้ ผู้ป่วยจะหายเองได้ ด้วยการหยุดพักการวิ่ง เพื่อให้กระดูกรักษาตัวเอง ส่วนใหญ่จะใช้เวลาประมาณ 2-3 เดือน แต่ก่อน ที่จะกลับมาวิ่งอีกครั้ง ควรมั่นใจว่าไม่มีอาการปวดเหลืออยู่อีกมิฉะนั้นอาจทําให้กระดูกหักล้ามากขึ้น และกลายเป็นปัญหาเรื้อรังได้ นอกจากนี้ ยังมีอาการเจ็บปวดที่เกิดจากลักษณะอุ้งเท้าที่แตกต่าง กันออกไป ได้แก่ นักวิ่งที่มีอุ้งเท้าสูง (High Arch Foot) มักพบอาการ เอ็นร้อยหวายตึงมากกว่าปกติ ส่วนนักวิ่งที่มีลักษณะเท้าแบน (Flat Foot) อาจเกิดอาการปวดร้าวบริเวณอุ้งเท้า เนื่องจากมีการลงน้ําหนักที่ฝ่าเท้าด้านใน มากกว่าปกติ ดังนั้น นักวิ่งจึงต้องเลือกพื้นรองเท้าให้เหมาะสมกับลักษณะเท้า ของตนเองเพื่อป้องกันอาการบาดเจ็บเหล่านี้ด้วย นอกจากอาการบาดเจ็บของกระดูกและข้อ อาการทางกล้ามเนื้อ ก็เป็นสิ่งที่ไม่ควรละเลย โดยเฉพาะ | ภาวะ กล้ามเนื้อสลายจากการวิ่งต่อเนื่องยาวนาน ดังเช่นกรณี “ตูน บอดี้สแลม” ในกิจกรรมวิ่งการกุศลโครงการ ก้าวคนละก้าว ซึ่งได้รับการตรวจเลือด และพบค่าเอนไซม์กล้ามเนื้อ (Creatinine Phosphokinase หรือ CPK) ขึ้นสูงกว่า 4,000 U/L (โดยปกติ จะมีค่าอยู่ระหว่าง 15 – 220 U/L) ค่า CPK ที่ขึ้นสูงเช่นนี้บ่งบอกถึง ภาวะการสลายของกล้ามเนื้อที่ปนออกมาในเลือด ปัญหานี้อาจส่งผลร้ายแรงให้เกิดภาวะไตวาย ได้นักวิ่งที่ประสบปัญหากล้ามเนื้อสลายหากรักษาไม่ทันท่วงที หรือไม่ถูกวิธีก็อาจเสียชีวิตได้ ทั้งนี้สามารถ สังเกตอาการเริ่มต้นได้จาก สีของปัสสาวะ หากมีสีเข้มกว่าปกติ ควรดื่มน้ําให้มากขึ้น การรักษาอาการบาดเจ็บจากการวิ่งนั้น รศ.นพ.พงศ์ศักดิ์ กล่าวว่า สําหรับอาการบาดเจ็บเบื้องต้น นักวิ่งและคนรอบข้างสามารถปฐมพยาบาล ได้ง่ายๆ ด้วยการใช้หลัก “RICE” ได้แก่ |
สําหรับการประคบเย็น ร้อน หรืออุ่นนั้น จะขึ้นอยู่กับอาการบาดเจ็บ หากเป็นการบาดเจ็บเฉียบพลัน เช่น ล้มข้อเท้าพลิก ให้ประคบเย็นใน 48 ชั่วโมงแรก และประคบร้อนต่อเพื่อลดอาการบวมช้ํา แต่ถ้าเป็นการ บาดเจ็บหรือปวดเรื้อรังจากการใช้งานกล้ามเนื้อต่อเนื่องยาวนาน จําเป็นต้อง ประคบอุ่นเพื่อคลายกล้ามเนื้อ
รศ.นพ.พงศ์ศักดิ์ อธิบายเพิ่มเติมด้วยว่า ในผู้ป่วยที่มีอาการรุนแรงขึ้นเกินกว่าที่ร่างกาย จะเยียวยาด้วยตนเอง ก็จะใช้การส่องกล้องรักษา เช่น อาการหมอนรองกระดูกฉีกบริเวณหัวเข่า พบได้มากในนักวิ่งทั่วไป แพทย์จะรักษาด้วยการส่องกล้องทําความสะอาดบริเวณที่ได้รับบาดเจ็บ โดยไม่จําเป็นต้องผ่าตัด ผู้ป่วยสามารถกลับมาเดินได้เป็นปกติภายใน 1 เดือน และกลับไปวิ่งหรือ เล่นกีฬาได้ภายใน 3 เดือน แต่สําหรับอาการบาดเจ็บสาหัส ที่จําเป็นต้องเข้ารับการผ่าตัด มักเกิดขึ้นกับนักกีฬา อาชีพมากกว่าประชาชนทั่วไป ซึ่งเป็นการบาดเจ็บแบบเฉียบพลัน เช่น เอ็นไขว้หน้าขาดในนักฟุตบอล ที่เท้าพลิกจากการถูกกระแทก สาเหตุเช่นนี้ทําให้นักกีฬาอาชีพต้องเสียโอกาสในการลงแข่งขัน และจะต้อง เข้ารับการส่องกล้องผ่าตัดซ่อมเอ็น โดยหลังการผ่าตัด 2 สัปดาห์จะต้องอาศัยอุปกรณ์ช่วยพยุงเดิน และกลับมาเดินได้เป็นปกติภายใน 3 เดือน แต่หากจะกลับไปเล่นกีฬาอาจต้องใช้เวลา 7-8 เดือนขึ้นไป ทั้งนี้ ในปัจจุบันมีการออกแบบท่าบริหารร่างกายก่อนการฝึกซ้อมและลงแข่งขัน เพื่อช่วยป้องกันเอ็นขาด ซึ่งลดความเสี่ยงได้เป็นอย่างด
![]() | “การตรวจเช็คสุขภาพร่างกาย การทําความ เข้าใจเรื่องอัตราการเต้นของหัวใจสูงสุดที่ ร่างกายจะรับได้ (Maximum Heart Rate)” สามารถคํานวณได้จากสูตร |
ข่าวแบ่งตามเดือน
